ยางลบ
เคยเป็นกันไหมครับ เมื่อตอนสมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนผมเสมอว่า เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ
ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าเวลาผมวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ผมก็อยากแก้ให้มันตรง สวย แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของผมก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ "สุดท้ายผมจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพ" นั้นไปตามจินตนาการของผมเช่นถ้าผมตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ผมเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป ผมก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน
แม้ตอนนั้นผมจะไม่เข้าใจว่า ทำไมผมจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ และแม้ผมจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน แต่ผมก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า ผมสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป เมื่อผมโตขึ้น ผมได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับผมมากมาย นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราทุกคน และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ผมได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ผมเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด
คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่อย่างถาวร ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ผมจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของผมให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ การรู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง เราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง เพราะถึงอย่างไร ผมเชื่อว่า ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้ โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าเวลาผมวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ผมก็อยากแก้ให้มันตรง สวย แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของผมก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ "สุดท้ายผมจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพ" นั้นไปตามจินตนาการของผมเช่นถ้าผมตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ผมเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป ผมก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน
แม้ตอนนั้นผมจะไม่เข้าใจว่า ทำไมผมจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ และแม้ผมจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน แต่ผมก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า ผมสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป เมื่อผมโตขึ้น ผมได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับผมมากมาย นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราทุกคน และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ผมได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ผมเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด
คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่อย่างถาวร ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ผมจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของผมให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ การรู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง เราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง เพราะถึงอย่างไร ผมเชื่อว่า ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้ โดยไม่ต้องใช้ยางลบ